สาระน่ารู้เกี่ยวกับคดี (Knowledge)
Notarial Services Attorney
หนังสือ สัญญา (Contract)
ทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
บัญชีและภาษีอากร (Accounting)
Login Form
วัน & เวลา (Date & Time Zone)
|
คดีภาษีอากร ได้แก่ คดีที่พิพาททางแพ่งเกี่ยวกับ
- คดีอุทธรณ์คําวินิจฉัยของเจ้าพนักงานหรือคณะกรรมการตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
- คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร
- คดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร
- คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อผูกพันซึ่งได้ทําขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากร
- คดีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอํานาจศาลภาษีอากร (พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 7)
โดยในคดีภาษีอากร จะมีทั้งคดีที่ต้องมีการอุทธรณ์
และคดีที่ไม่ต้องมีการอุทธรณ์ก่อน
กรณีที่จะต้องอุทธรณ์ก่อนนั้น
จะต้องตรวจสอบการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงาน
เพื่อดูความถูกต้องของกรรมวิธีการประเมินภาษีอากร เงินเพิ่ม
และเบี้ยปรับ
รวมถึงหลักเกณฑ์ต่างๆ ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะอุทธรณ์ได้
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว
หากผู้อุทธรณ์ยังไม่พอใจในคำวินิจฉัย
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล และยื่นฟ้องต่อศาลภายในอายุความ
แต่จะต้องเป็นกรณีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วย
ตัวอย่างคำพิพากษา กรณีอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8298/2557
ป.พ.พ. มาตรา 499
ป.รัษฎากร มาตรา 30, 91/2
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 25
ข้อ 2 (14)
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์การประเมิน
ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง
การประเมินปัญหาข้อเท็จจริงใดที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิหยิบยกขึ้นอุทธรณ์
ย่อมเป็นอันยุติโจทก์จะยกขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลไม่ได้
เมื่อโจทก์ไม่ได้ยกปัญหาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมิน
กำหนดราคาขายทองรูปพรรณทั้งหมดเป็นรายได้ของโจทก์
เป็นการไม่ชอบขึ้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินในส่วนนี้ได้
แม้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบ
และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะอุทธรณ์ประเด็นนี้ต่อไป
การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจะต้องอาศัยพยานหลักฐาน
ที่ปรากฏจากการไต่สวน แม้โจทก์ไม่มีบัญชีเอกสารหรือหลักฐาน
มาแสดงแต่ถ้อยคำของโจทก์เองถือเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง
ที่ปรากฏจากการไต่สวนซึ่งเจ้าพนักงานประเมินนำมาใช้
ในการตรวจสอบได้
การที่เจ้าพนักงานจะพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏ
จากการไต่สวนอย่างไรเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ
แม้เจ้าพนักงานประเมินจะประเมินภาษีโจทก์
โดยอาศัยเพียงแต่ข้อมูลจากที่โจทก์ได้ให้ถ้อยคำไว้
ก็ไม่มีผลทำให้การไต่สวนเสียไป
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40)
เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณ
มูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4)แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2 (14)
กำหนดว่า “มูลค่าของทองรูปพรรณที่ขายเป็นจำนวนเท่ากับ
ราคาทองรูปพรรณที่สมาคมค้าทองคำประกาศรับซื้อคืน
ในวันที่ขายทองรูปพรรณ ทั้งนี้ เฉพาะผู้ประกอบการจดทะเบียน
ที่ประกอบกิจการขายทองรูปพรรณ ซึ่งมีใบอนุญาตค้าของเก่า
ตามกฎหมายว่าด้วยการค้าของเก่า” กรณีตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
ฉบับดังกล่าว เป็นการรับซื้อและขายทองรูปพรรณแก่บุคคลทั่วไป
แต่สำหรับการขายฝากทองรูปพรรณนั้น คู่สัญญาย่อมกำหนดสินไถ่
โดยเรียกประโยชน์ตอบแทนรวมไปกับราคาขายฝากที่แท้จริงได้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 499
สินไถ่จึงขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคู่กรณีแต่ละราย
หากผู้ขายไม่ต้องการรับภาระจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้รับซื้อฝาก
เกินความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ก็ตกลงสินไถ่ต่ำกว่าราคาขายทองรูปพรรณได้
สินไถ่จึงไม่ต้องเท่ากับราคาขายทองรูปพรรณทั่วไป
ส่วนราคาที่โจทก์รับซื้อฝากก็ไม่ต้องเท่ากับราคาทองรูปพรรณ
ที่สมาคมค้าทองคำประกาศรับซื้ออีกเช่นกัน
กรณีจึงไม่อาจนำประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) มาใช้บังคับแก่การขายฝากได้
แม้โจทก์จะมิได้รับฝากเงินเช่นธนาคาร แต่ประกอบกิจการรับซื้อลดเช็ค
เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์หลายครั้งหลายช่วงเวลา
ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
ในการรับซื้อตั๋วเงินเป็นปกติ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตามมาตรา 91/2 แห่ง ป.รัษฎากร
อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลภาษีอากรกลางในการวินิจฉัย
เรื่องเหตุอันควรลดเบี้ยปรับเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อภาษีธุรกิจเฉพาะแต่ละเดือนภาษีพิพาท มีทุนทรัพย์ที่พิพาท
แต่ละเดือนภาษีไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้าม
มิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
พ.ศ.2528 มาตรา 25